Dr. Strangelove (1964) ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ

VIDEO

×
Thai NA IMDb 8 คุณภาพ :
Dr. Strangelove (1964) ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ

เรื่องย่อ : Dr. Strangelove (1964) ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ

ดูหนัง Dr. Strangelove (1964) ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ

บทนำ

“Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb” หรือในชื่อไทยว่า “ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ” เป็นภาพยนตร์แนวเสียดสีทางการเมืองที่กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริก ซึ่งออกฉายในปี 1964 หนังเรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะหนังคลาสสิกที่สำรวจประเด็นเกี่ยวกับสงครามเย็นและนิวเคลียร์อย่างเฉียบคมและขบขัน โดยใช้โทนสีที่แตกต่างกันระหว่างความตลกขบขันและความตึงเครียดที่เกิดจากสงคราม

นักแสดง

หนังเรื่องนี้นำแสดงโดยนักแสดงฝีมือดีหลายคน ได้แก่:

  • พีเตอร์ เซลเลอร์ส ในบท ดร. สเตรนจ์เลิฟ และตัวละครอื่นๆ
  • จอร์จ ซี. สก็อตต์ ในบท นายพลจอร์จ แฟลนเดอร์ส
  • เคิร์ต รัสเซล ในบท ร้อยเอก รอเบิร์ต “ร็อบ” เบเกอร์
  • ซูซาน แฮนเซน ในบท มิสเตอร์ สเตรนจ์เลิฟ

คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes

“Dr. Strangelove” ได้รับคะแนนจาก IMDb ที่ 8.4/10 และคะแนนจาก Rotten Tomatoes ที่ 98% ทำให้มันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการภาพยนตร์

สปอยล์และสรุปเนื้อเรื่อง

หนังเปิดเรื่องด้วยเรื่องราวที่เริ่มต้นจากการตัดสินใจของ นายพลแจ็ค ริพเปอร์ ที่สั่งให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ต่อสหภาพโซเวียต โดยเชื่อว่าโซเวียตกำลังวางแผนที่จะทำลายสหรัฐฯ อย่างลับๆ

ตามมาด้วยความพยายามในการหยุดยั้งการโจมตีนี้จาก ประธานาธิบดี และ ดร. สเตรนจ์เลิฟ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ในขณะที่กองทัพอากาศพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์

หนังยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในนโยบายการทหารของสหรัฐฯ และการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลก โดยการแสดงออกในรูปแบบที่ตลกขบขันแต่ยังคงมีความหมายลึกซึ้ง

ข้อคิดและบทสรุป

“ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ” ไม่เพียงแต่เป็นหนังที่ให้ความบันเทิง แต่ยังเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความน่ากลัวและความไร้เหตุผลของสงครามนิวเคลียร์ ที่นำเสนอผ่านการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงและบทสนทนาที่เฉียบคม หนังสร้างความคิดให้ผู้ชมตั้งคำถามกับแนวคิดเรื่องความมั่นคงและสันติภาพในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ “ด็อกเตอร์เสตรนจ์เลิฟ” จึงยังคงเป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์และสังคม จนถึงปัจจุบัน